วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

         
                     สุขภาพดีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ


   "ยิ้มรับสุขภาพดีกันดีกว่า"


  สุขภาพดีและปราศจากโรคคงไม่ใช่เรื่องของความโชคดีเป็นแน่ แต่เป็นเรื่องของการดูแลใส่ใจเฉพาะตัวบุคคลต่างหากสุขภาพดีต้องดูแลถึงจะ อยู่กับเรา ไปนานเท่านาน สุขภาพจะดีแค่ไหนประกอบไปด้วย 2 ปัจจัยหลักคือ “ปัจจัยส่วนบุคคล” และ “ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม”




          ปัจจัยส่วนบุคคล

        ได้แก่ พันธุกรรม เพศ อายุ และวิถีการดำเนินชีวิต จะเห็นว่าพันธุกรรม เป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้เพราะบรรพบุรุษให้ติดตัวมาแต่กำเนิด เพศและอายุ ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่ง “วิถีการดำเนินชีวิต” เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ พันธุกรรม เพศ อายุ และความสมบูรณ์ของสุขภาพมากที่สุด เพราะถ้ามี วิถีการดำเนินชีวิตที่ดีก็อาจช่วยชะลอโรคจากพันธุกรรม ชะลอ ความเสื่อมตามวัยได้ ที่สำคัญคือเราสามารถกำหนดรูปแบบวิถีการ ดำเนินชีวิตได้เปลี่ยนแปลงได้และควบคุมได้ด้วยตัวเราเอง

         ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

         ไม่ว่าจะเป็นอากาศ น้ำ ระบบสุขาภิบาล สภาพแวดล้อมทางชีวภาพ สภาพแวดล้อมทางสังคม ล้วนส่งผลต่อสุขภาพของเราเช่นกัน และก็มีทั้งส่วนที่เราสามารถควบคุมได้และควบคุมไม่ได้

            คนเราจะมีสุขภาพพื้นฐานดีได้ ต้องมีความสมดุลในองค์ประกอบต่างๆของชีวิต

        ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกอาหารการกิน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อน ความสัมพันธ์ในสังคม อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ตลอดจนวิธีคิดที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต ดังนั้นจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือ “วิถีการดำเนินชีวิต” ที่มีบทบาทต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจที่เราควบคุมได้ เกือบทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ขยันออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง นอนหลับให้พอเพียงทุกวัน ซึ่งแต่ละคนต้องการจำนวนชั่วโมงการนอนไม่เท่ากัน การจัดการสภาพแวดล้อมรอบตัว (ที่สามารถควบคุมได้) ให้ถูกสุขอนามัยปรับมุมมองและวิธีคิดบวกเสริมสร้างจิตใจด้านดี
        
      


              อีกทั้งผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เหล่านี้เราสามารถปรับเปลี่ยนและปรับปรุงเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นได้ มีสุขภาพจิตที่ดีและในทางเดียวกันนั้นเอง ถ้าปรับวิถีการดำเนินชีวิตด้านต่างๆให้ดีแล้ว แต่ไม่ใส่ใจเรื่องอาหารการกินยังตามใจปากแต่ลำบากกายแบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะการมีสุขภาพดีต้องรวมถึงมีโภชนาการที่สมดุลด้วยซึ่งจะช่วยรักษา เสริมสร้าง ป้องกันสุขภาพของเราให้มีความแข็งแรงเต็ม 100เปอร์เซ็นต์

         รักษา  สุขภาพพื้นฐานให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่่อระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
         เสริมสร้าง  เพื่อให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น และชะลอความเสื่อมให้ช้าลง
         ป้องกัน  เพื่อไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มาเบียดเบียน

          ทั้งนี้การจะ “รักษา-เสริมสร้าง-ป้องกันสุขภาพของเรา” ให้ดีได้ตลอดไปต้องได้รับสารอาหาร ทางโภชนาการอย่างพอเพียงสารอาหารตามที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันมีด้วยกัน 6 กลุ่มได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ น้ำ และยังมี “กลุ่มไฟโตนิวเทรียนท์” ซึ่งเป็นพฤกษเคมีที่มีอยู่ในพืช ผัก ผลไม้ต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายเราอย่างมากอีกด้วย



      "กินอย่างไรให้สุขภาพดี"

            สุขภาพ ร่างกายหากมีความแข็งแรงย่อมไม่นำโรคภัยมา การมีสุขภาพที่ดีเป็นที่ปราถนาของทุกคน แต่จะทำอย่างไรให้มีสุขภาพดี วันนี้เรามีเคล็ดลับกินอย่างไรให้สุขภาพดีมาบอก

       



          เคยสงสัยตัวเองไหมว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหารของตัวเองควรจะมีการแก้ไขไหม เป็นพฤติกรรมที่ควรจะทำหรือเปล่า ปัจจุบันคนไทย เรามีนิสัยการบริโภคที่ไม่ถูกเท่าที่ควรนัก ทั้งที่มีกระแสรักสุขภาพ เพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่กลับมีวิธีการกินที่ผิด ๆ เข้ามาแทนที่เสียนี่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองมาสู่วิธีการกินที่ถูกต้องก็ในเมื่อชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว เราก็ควรจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเรา


          พฤติกรรมและวินัยการบริโภคผิด ๆ

          ถ้าให้พูดถึงวิธีการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง สามารถกล่าวถึงได้หลายอย่าง บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ไม่รู้ตัวและไม่ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะบางอย่างเป็นสิ่งที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน

          การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กกลับเป็นเรื่องที่ใหญ่อย่างคาดไม่ถึง เพราะจะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น เหมือนเราใช้งานร่างกายหนักขึ้น วันหรือสองวันอาจจะไม่มีผลอะไรแต่อย่าลืมว่าเราต้องกินข้าวและเคี้ยวอาหารตลอดชีวิตของเรา

          ติดนิสัยกินอาหารจุบจิบ เป็นอุปนิสัยการกินที่จะทำให้เกิดโรคอ้วน เพราะการหยิบของใกล้มือมากินตลอดเวลา โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวและของทอด โดยไม่คำนึงถึงไขมันและแคลอรีส่วนเกิน

          ไม่กินอาหารเช้า จากชีวิตในสังคมเมืองที่ต้องเร่งรีบวิ่งตามเวลา บางครั้งการเตรียมอาหารเช้าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อไม่ได้รับประทานอาหารเช้าก็จะทำให้หงุดหงิดง่ายความจำไม่ดี ความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่ว่องไว

          เลือกรับประทาน อุปนิสัยการรับประทานของผู้คนสมัยนี้จะแสวงหาแต่สิ่งที่ชอบและพึงพอใจ กินอาหารปรุงแต่งรสชาติ ไม่กินผักผลไม้ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางอย่างที่จำเป็นกับร่างกาย ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่ากินตามใจปาก

          กินอาหารไม่เป็นเวลา หากเป็นเมื่อก่อนการกินอาหารไม่เป็นเวลาอาจจะมีของแถมมาเป็นโรคกระเพาะอาหารเพียงเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีโรคกรดไหลย้อนเข้ามาให้ระแวงเพิ่มอีก กลายเป็น 2 โรคยอดฮิตในหมู่หนุ่มสาวสมัยนี้ไปเสียแล้ว

          สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุปนิสัยการรับประทานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถให้ผลกระทบในด้านสุขภาพ และร่างกายของเราได้ในระยะยาว ถ้าเราไม่คิดจะแก้ไข




          เปลี่ยนการกินอย่างไรให้สุขภาพดี

          บางครั้งการพยายามกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็เป็นอะไรที่น่าเหนื่อยใจไม่ใช่น้อย เพราะข้อห้ามทั้งหลายที่กินนั่นไม่ได้กินนี่ไม่ดี ทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเรามันดูยากขึ้น จนเราเลิกล้มความตั้งใจไปก่อนที่จะได้ทำจริง ๆ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินง่าย ๆ ก็ช่วยเราให้สุขภาพดีได้โดยไม่ต้องซื้อหา

          เริ่มวันใหม่ด้วยอาหารเช้า หากคุณไม่มีเวลาพอที่จะกินอาหารเช้ามื้อใหญ่ ลองมองหาอาหารที่สามารถหยิบมากินได้ง่าย ๆ อย่างโยเกิร์ตกับกล้วยน้ำว้าสุก ซึ่งกล้วยน้ำว้าเป็นแหล่งโปรตีน วิตามินเอ ซี บี 1 บี 2 บี 6 นอกจากจะได้ประโยชน์แล้วยังไม่อ้วนด้วย อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร การดูดซึม และระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้กินอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลง

          เปลี่ยนของจุบจิบจำพวกขนมขบเคี้ยวเป็นของที่มีประโยชน์ การห้ามกินของจุบจิบในระหว่างมื้อกลางวัน หรือการกินของว่าง ก่อนนอน หรือช่วงระหว่างดูละครเป็นไปได้ยาก เพราะนับได้ว่าเป็นอุปนิสัยที่เราทำไปโดยไม่รู้ตัว เราก็แทนที่ของเหล่านั้นด้วยผลไม้ที่มีกากใยสูง และมีวิตามินแทนดีกว่า เพราะผลการวิจัยเขาบอกไว้ว่าการกินหลายมื้อไม่ได้ทำให้อ้วน แต่เราจะอ้วนจากการที่ใน 1 วัน เรากินอาหารที่ไม่จำกัดแคลอรี กินเกินกว่าความสามารถในการเผาผลาญของร่างกาย

          หันมากินมังสวิรัติบ้าง ตอนนี้กระแสการกินอาหารมังสวิรัติในวันเกิดของตัวเองกำลังเป็นที่นิยม โดยมีจุดเริ่มต้นจากความคิดในการทำบุญ ใน 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือน เราอาจจะเลือก 1 วันที่เราจะกินอาหารมังสวิรัติขึ้นมาและตั้งใจทำให้ได้ การกินมังสวิรัติก็เหมือนกับการดีท็อกซ์ร่างกาย แถมยังได้ความสุขทางใจ สุขภาพจิตก็ดีขึ้น




          เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ทุกวันนี้เราคงไม่ได้สังเกตตัวเองว่าในการกินอาหาร 1 มื้อ เราใช้เวลารวดเร็วมาก ๆ แทนที่จะได้ดื่มต่ำกับรสชาติอาหาร กลับรีบเคี้ยวกลืน และกินให้ไว้ไว้ก่อน ซึ่งถ้าเราลองเปลี่ยนมาเคี้ยวอาหารให้ช้าลง เคี้ยวได้ละเอียดขึ้นจะช่วยทำให้อาหารดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย กระเพาะไม่ต้องทำงานหนัก และยังช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลายอีกด้วย
 
          พยายามกินอาหารให้ได้ทุกหมวดหมู่
เราอาจจะไม่ชอบกินอาหารบางชนิด อย่างบางคนที่ไม่ชอบรสชาติของอาหารบางอย่าง เราไม่ต้องถึงขนาดอดทนกล้ำกลืนกินเข้าไป แต่ให้ไปหาอาหารชนิดอื่นที่มีคุณค่าใกล้เคียงกันมากันมากินก็ได้ เพราะแทนที่จะฝืนทนกินให้จิตใจเครียดและปฏิเสธ แทนที่สุขภาพ จะดีขึ้นแต่กลับจะแย่ลงเสียมากกว่า


                    "การดื่มน้ำ"

          ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง หากไม่มีเวลาดื่มระหว่างวัน แนะนำให้ลองดื่มน้ำเปล่าตอนตื่นนอนวันละ 1-2 แก้ว และก่อนนอนอีก 1-2 แก้ว ก็ได้เพราะตอนเช้าระดับความเข้มข้นของเลือดสูง ร่างกายเราจะรู้สึกว่าขาดน้ำ ก่อนนอนก็ควรจะดื่มสัก 1-2 แก้ว เพื่อให้น้ำไปชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร





              " ออกกำลังกาย "
 

          เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักการออกกำลังกาย ทั้งนี้แม้คุณจะกินอาหารที่ดีเพียงใด แต่การออกกำลังกายก็ยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยชะลอการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราไม่จำเป็นจะต้องออกไปวิ่ง หรือเข้ายิมทุกวัน แต่ใช้เวลาว่างระหว่างวันเพียงแค่ 10 นาที ก็สามารถออกกำลังกายง่าย ๆ ได้ หรือใช้บันไดในการขึ้นลงระหว่างชั้นให้มากขึ้นก็ได้

                การออกกำลังกายโดยวิธีการเต้นแอดรบิก





          การตั้งมั่นตั้งใจทำสิ่งใหม่ ๆ เป็นเรื่องดี อย่างการที่อยากจะปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ แต่หากทำโดยตั้งอยู่ในพื้นฐานของความเคร่งเครียดในการผลักคันตัวเองมากเกินไป จะทำรู้สึกไม่มีความสุข ความพยายามจะไม่เป็นผล ดังนั้นการจะเปลี่ยนตัวเองนั้น หากค่อย ๆ เปลี่ยนสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำจนเป็นกิจวัตรนิสัย เชื่อแน่ว่าสุขภาพดี จิตใจสงบ ความรู้สึกดี ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวเราแน่นอน



 ที่มาของเนื้อหาดีๆ http://women.thaiza.com

ขอบคุณรูปสวยๆจาก http://www.google.co.th

  ขอบคุณวีดีโอจากhttp://www.youtube.com/





                 " ผู้หญิงยุคใหม่ ต้องใส่ใจตัวเอง "
              

  " ผู้หญิงสมัยนี้ต้องสวย เก่ง และแกร่ง "

           ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงทุกวันนี้มีบทบาทความรับผิดชอบมากขึ้น ผู้หญิงเก่งจำนวนมากต้องดูแลลูกดูแลครอบครัว พร้อมกับทำงานประจำ นอกจากนี้เพื่อความมั่นใจในตัวเองทำให้ผู้หญิงต้องดูแลภาพลักษณ์ให้สวยงามน่ามองอยู่เสมอ การที่ผู้หญิงต้องรับหน้าที่หนักอยู่ตลอดเวลาย่อมอาจทำให้ขาดการดูแลตัวเองไปบ้าง


          นอกจากนี้ ผู้หญิงยังมีโรคที่คอยคุกคามและบั่นทอนสุขภาพมากกว่าผู้ชายที่สำคัญคือ มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก ที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆในผู้หญิงไทยนอกจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์และการคลอดก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของคุณแม่อีกทั้งอาการปวดประจำเดือนของวันเบาๆ ที่คู่กับผู้หญิงในทุกเดือนก็สร้างความหนักใจไม่น้อยเมื่ออายุมากขึ้นก็ยังเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนและมากกว่าผู้ชาย

          ยิ่งไปกว่านั้น โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองที่ดูเหมือนจะเป็นเฉพาะ “โรคของผู้ชาย” นั้น ไม่เป็นจริงเสมอไปข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่าโรคหัวใจขาดเลือด (Ischemic heart disease)เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่ง ส่วนโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองของผู้หญิงทั่วโลก ถึงแม้ผู้หญิงจะต้องเผชิญกับโรคที่รออยู่มากมายแต่สิ่งที่ยืนยันความแกร่งของผู้หญิง คือเรามีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาวกว่าผู้ชายถึง 6-8 ปี การดูแลสุขภาพผู้หญิงโดยทั่วไปแล้วไม่ต่างจากการหลักการดูแลสุขภาพทั่วไปคือ กินอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วน กินผักผลไม้มากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และผ่อนคลายความเครียด แต่เมื่อมีความแตกต่างของโครงสร้างร่างกาย 



       วัยรุ่น ช่วงอายุ 12-22 ปี ผู้หญิงวัยรุ่น


              เป็นวัยที่ผู้หญิงสวยสะพรั่งและมีความรักสวยรักงามมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่าง เข้าสู่วัยสาวเริ่มมีประจำเดือนและเป็นสิว แต่ส่วนใหญ่แล้วยังไม่มีปัญหาสุขภาพมากนัก การดูแลสุขภาพในวัยนี้เป็นการปูพื้นฐานที่ดีให้กับร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ความต้องการสารอาหารของวัยรุ่นจะเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนเป็นเด็กและใกล้เคียงกับในผู้ใหญ่




        และที่ควรระวังคือเป็นวัยที่ได้เลือกซื้อเลือกกินอาหารเองมากขึ้น จึงควรให้ความสำคัญกับการเลือกกิน อาหารที่มีคุณค่า โดยเฉพาะอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อแดง ผักโขมเพราะร่างกายต้องการธาตุเหล็กมากขึ้นจากการมีประจำเดือน และควรกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง เพราะเป็นช่วงที่มีการสะสมแคลเซียมในกระดูกสูงสุดเพื่อเตรียมพร้อมกับการสูญเสียมวลกระดูกเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งผู้หญิงในวัยนี้มักดื่มนมลดลงจึงอาจทำให้ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ



        วัยทำงาน ช่วงอายุ 23-45 ปีผู้หญิงวัยทำงาน

               เป็นช่วงอายุที่ผู้หญิงหลายคนเริ่มมีครอบครัวหรือเริ่มทำงาน มีความเหน็ดเหนื่อย ในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น มีความเครียดสะสม และมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้สูงกว่าผู้ชายการดูแลสุขภาพจึงควรเน้นที่การดูแลจิตใจควบคู่ไปด้วย ส่วนสุขภาพกายก็เริ่มเสื่อมถอยลงบ้าง จึงควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพประจำปี เน้นการกินอาหารให้สมดุลและออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไปเนื่องจากระบบเผาผลาญเริ่มลดลงและเป็นวัยที่ต้องกินและดื่มเพื่อเข้าสังคมอยู่ตลอดเวลาบางคนอาจตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ซึ่งก็ร่างกายก็จะต้องการสารอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ ความสดใสของผิวพรรณอาจเริ่มลดลงตามวัยและความเครียดที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขึ้นชื่อว่าผู้หญิงไม่ว่าอายุเท่าไรก็คงไม่ยอมแพ้ใครเรื่องความสวย จึงต้องเพิ่มการกินผักผลไม้เพื่อให้ได้สารต้านอนุมูลอิสระ หรืออาจเลือกเสริมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เหมาะสม เช่น สารสกัดเมล็ดองุ่น วิตามินซี หรือ วิตามินอี ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระสูง ทำให้ผู้หญิงวัยนี้เป็นผู้หญิงเก่ง





           สัญญาณเริ่มต้นของความเสื่อมถอยด้านความงามเห็นได้ชัดคงเป็นรอยคล้ำใต้ตา ผิวที่ดูซูบซีด ริ้วรอยเพิ่มขึ้น ผมและเล็บไม่แข็งแรงเงางามส่วนด้านสุขภาพจะเห็นจากความอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เหนื่อยง่ายไม่กระฉับกระเฉง ปวดเมื่อยเนื้อตัว อีกทั้งยังส่งผลถึงด้านจิตใจที่สังเกตได้ คือความเครียดวิตกกังวลหรือนอนไม่หลับ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากโภชนาการที่ไม่สมดุล จึงสามารถเสริมให้ครบสมบูรณ์ได้ด้วยอาหารที่มีคุณภาพ

ที่มา....................Nutrilite



        " เหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคิดบวก"


       สุขภาพของคุณผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเสียจริงๆ แต่เคยสังเกตบ้างไหมค่ะว่า ผู้หญิงคิดบวกนั้นมักจะมีสุขภาพที่ดีกว่าคนอื่นๆ เป็นเพราะอะไร ไปหาเหตุผลกันค่ะ 
           
                 6 เหตุผลที่ทำให้ผู้หญิงคิดบวก

          เคยสังเกตกันไหมเอ่ย ว่าผู้หญิงที่ร่าเริง ยิ้มง่ายและดูมีความสุขแทบจะทุกคน มักจะมีสุขภาพที่แข็งแรง และร่างกายแจ่มใส ซึ่งการมีความสุขจะเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพได้อย่างไร วันนี้เรามีคำตอบมาเฉลยให้ได้รู้กันค่ะ

          1. คิดบวกขจัดความเครียด

          ปัญหาและอุปสรรคมีอิสระ มันสามารถเข้าถึงคนได้ทุกคนทุกชนชั้น แต่คนที่มีความสุขจะมีโอกาสผ่านมรสุมต่าง ๆ ไปได้อย่างเจ็บน้อยที่สุด เพราะเขาเหล่านี้มักจะคิดบวก และไม่ยอมเสียเวลาจมปลักกับปัญหานานจนเกินไป ซึ่งพอไม่เครียด จิตใจก็จะผ่องใส และร่างกายก็จะแข็งแรงตามไปด้วย ดังนั้นมาเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้หญิงคิดบวกกันดีกว่านะคะ

         2. ไม่ปล่อยตัวเองให้ว่างจนฟุ้งซ่าน

          กิจกรรมฆ่าเวลาประเภทนอนดูทีวีอยู่บ้าน หรือจมตัวเองอยู่กับที่นอนทั้งวันไม่ใช่แนวของคนที่มีความสุข เพราะคนที่มีความสุขจะมีกำลังใจไปทำสิ่งต่าง ๆ มากมาย  เรียกได้ว่าแทบไม่มีเวลาว่างมานั่งคิดฟุ้งซ่านให้วุ่นวายใจ ซึ่งการได้ออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้ร่างกายแอคทีฟ เป็นผลให้มีสุขภาพที่ดี แถมยังได้เบิร์นไขมันส่วนเกินอีกด้วยนะ

          3. ไม่ต้องกลุ้มกับค่ารักษาพยาบาล

          เจ็บป่วยแต่ละทีก็มีเรื่องให้กลุ้มไม่น้อย ไหนจะค่ารักษา ค่ายา และอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่อีก ฉะนั้นคนที่มีสุขภาพจิต รวมไปถึงสุขภาพกายที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องเครียดกับเรื่องเหล่านี้ให้เมื่อยตุ้ม แถมมีเงินเหลือไว้กินและเที่ยวเพื่อสุขภาพจิตได้อีกเยอะ ส่งผลให้ระดับความสุขในร่างกายเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ

          4. ไม่ป่วยบ่อย

          สภาวะเจ็บออด ๆ แอด ๆ เป็นสิ่งที่คนมีความสุขไม่ค่อยจะได้เจอ เพราะมักจะมีจิตใจแจ่มใส ไม่หม่นหมอง จนพาลให้ร่างกายอ่อนแอ เปิดโอกาสให้ปัญหาสุขภาพเข้ามาคุกคามได้ง่าย ๆ  ฉะนั้นพยายามทำจิตใจให้ร่าเริงเข้าไว้นะคะ ร่างกายจะได้แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย ๆ ให้ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น

          5. มีความพยายามสร้างสุขภาพดีให้ตัวเอง

          หากเรามีความสุขกับทุกสิ่งในชีวิต ทั้งด้านจิตใจและร่างกาย เราก็คงอยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างนี้ตลอดไป ดังนั้นคนที่มีความสุขในชีวิต ก็จะพยายามดูแลตัวเองรวมไปถึงคนรอบข้างให้มีสุขภาพที่แข็งแรงไม่ว่าจะเป็นชวนกันไปออกกำลังกาย หรือทานอาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ซึ่งพอมีร่างกายที่แข็งแรง ก็จะส่งผลให้สุขภาพจิตแข็งแรงสดใสตามไปด้วยนั่นเอง

          6. สร้างความสุขให้ตัวเองอย่างถาวร

          ยิ่งมีความสุขกับดูแลตัวเองแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าไร ก็จะยิ่งมีแรงบันดาลใจให้ทำต่อไปอีกเรื่อย ๆ จึงไม่แปลกที่คนที่รู้สึกดีกับการมีร่างกายแข็งแรง จะผันตัวเองเป็นคนรักสุขภาพ อย่างหันมารับประทานผักและผลไม้มากขึ้น กินเนื้อสัตว์น้อยลง หรือออกกำลังกายอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะมีสุขภาพจิตดี เพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำแล้ว ก็จะมีร่างกายที่แข็งแรงเป็นของแถมด้วย



         เกิดเป็นผู้หญิงต้องรู้จักการดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองกันนะคะ เพราะผู้หญิงสมัยใหม่นั้น ต้องเป็นผู้หญิงที่ สวย เก่ง และเกร่ง ซึ่งจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได่ว่าผู้หญิงไม่ใช่เพศที่อ่อนแอแต่ผู้หญิงนั้นก็สามารถยืนยัดด้วยตัวเอง และดูแลตัวเองเป็นอย่างดีได้

  ขอบคุณ  เคล็ดลับผู้หญิง http://women.thaiza.com

  ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก  http://www.google.co.th



                 " เตรียมรับมือกับฤดูฝน"



          น่าเบื่อจริงๆ กับสายฝนที่ตกมาตลอดเวลา จะออกนอกบ้านทีไรเป็นต้องพกร่มอยู่ตลอดเวลา ก็ยังไม่วายจะเปียกชื้น ชวนให้เป็นไข้หวัดอยู่บ่อยๆ และที่สำคัญก็คือเชื้อรา ถือว่าเป็นมหันตภัยร้ายเลยทีเดียวในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ถ้าไม่อยากให้เชื้อราซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้ายเข้ามากล้ำกรายละก็ ต้องปฎิบัติตัวขณะออกไปนอกบ้านในตอนที่ฝนตกพรำๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้






                     วิธีรับมือกับฤดูฝน

       1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยในน้ำขัง เวลาเดินออกไปข้างนอกต้องหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำที่ขังตามถนนหนทาง เพราะเราไม่ทราบว่าในน้ำมีของมีคนอยู่หรือเปล่า ดีไม่ดีเราอาจจะเดินไปเตะโดนกับของมีคมเข้า จะทำให้เท้าเรามีแผลและเชื้อราอาจจะเข้าสู่ร่างกายเราได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีแผลที่เท้าอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำอย่างเด็ดขาด


       2. รีบทำความสะอาดทันที เมื่อผ่านการลุยน้ำมาสิ่งแรกที่ควรจะทำก่อนที่จะเกิดอาการน้ำกัดเท้าได้ก็คือ รีบล้างเท้าทำความสะอาดก่อนทันที โดยฟอกสบู่ให้ทั่วบริเวณที่โดนน้ำ โดยเฉพาะซอกเล็บ ซอกนิ้วเท้า ควรทำความสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง และหาโลชั่นบำรุงมาทาไว้ ยกเว้นบริเวณซอกนิ้วแค่เช็ดให้แห้งก็พอไม่ต้องทาโลชั่นเพราะอาจจะทำให้ชื้นมากขึ้น

       3. ควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อกลับถึงบ้านแล้วต้องรีบอาบน้ำ ชำระร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มากับน้ำ 

       4. ควรสระผมให้สะอาด นอกจากเราจะอาบน้ำให้ร่างกายเราสะอาดแล้ว ผมก็เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคได้เหมือนกันถ้าหากเกิดการเปียกชื้นแล้วไม่ได้รับการทำความสะอาด ฉะนั้นเราควรสระผมให้สะอาดด้วย และควรเป่าผมให้แห้ง ถ้าขืนเรานอนหลับขณะที่ผมยังเปียกชื้นอยู่รับรองว่าเราได้เป็นเชื้อราบนหนังศีรษะแน่นอน

       5. หากเราไม่สามารถที่จะอาบน้ำทันทีได้ในขณะนั้น แต่ควรที่จะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเก่าออก เช็ดตัวและผมให้แห้งแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ทันทีเลย 

       6. รีบซักเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทันที เสื้อผ้าที่เปียกชื้นจากน้ำฝนควรรีบทำการซักทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะจะหมักหมมก่อให้เกิดเชื้อราบนเสื้อผ้าได้ ถ้าไม่สะดวกที่จะซักในทันทีก็ให้ใส่ไม้แขวนแล้วแขวนผึ่งในที่ที่มีอากาศถ่ายเท

       7. เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนแล้วถึงแม้ว่าวันนี้ฝนจะตกหรือไม่ตกก็ตาม ก่อนออกจากบ้านควรพกร่มหรือว่าเสื้อกันฝนอยู่เสมอ และดูแลตัวเองให้อับชื้นน้อยที่สุด ที่สำคัญถ้าสามารถเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ติดไว้ที่โต๊ะทำงานซักชุดนึงก็ไม่เลวเหมือนกัน

ขอบคุณ http://guru.sanook.com





    โรคที่พบในฤดูฝน

         กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรค ได้ออกประกาศเตือนประชาชนในการป้องกันโรคติดต่อที่มั กเกิดขึ้นในฤดูฝน จัดส่งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกัน โดยมี กลุ่ม รวม 15โรค ได้แก่ 

         1.กลุ่มโรคติดต่อของระบบทางเดินอาหาร ที่พบบ่อย ได้แก่ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน บิด ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ตับอักเสบ สาเหตุเกิดจากกินอาหารดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคหรื อกินอาหารสุกๆ ดิบๆ 

         2.กลุ่มโรคติดเชื้อผ่านทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ที่พบบ่อยคือ โรคเลปโตสไปโรซิส หรือไข้ฉี่หนูอาการเด่นคือ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณน่องและโคนขาอย่างรุนแรง และตาแดง     




         3.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ที่พบบ่อยได้แก่ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบหรือปอดบวม อาการเริ่มจากไข้ ไอ หายใจเร็วหรือหอบเหนื่อย 

         4.กลุ่มโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ที่สำคัญ โรค ได้แก่ ไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นยุงลายที่อยู่ในบ้าน ไข้สมองอักเสบเจอี (Japanese Encephalitis) มียุงรำคาญ มักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนาเป็นตัวนำโรค และโรคมาลาเรีย มียุงก้นปล่องที่อยู่ในป่า เป็นพาหะนำโรค ทั้งโรคนี้อาการเริ่มจากมีไข้สูง ปวดศีรษะมาก คลื่นไส้อาเจียน โดยเฉพาะโรคไข้สมองอักเสบ อาจทำให้พิการภายหลังได้ 

         5.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง   ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา



ขอบคุณ http://www.kroobannok.com

       อย่างไรก็ตามเมื่อเรารู้ถึงโรคที่เกิดจากฤดูฝนแล้ว เราก็ควรจะระมัดระวัง ควรดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองและของคนรอบข้างด้วยนะคะ

     ขอบคุณรูปสวยๆจากhttp://www.google.co.th



                            ฤดูฝนมาแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ


      ฤดูที่สายฝนโปรยปรายเป็นช่วงเวลาแห่งความสดชื่น ความเขียวขจีของธรรมชาต ภูเขาและผืนป่า น้ำตกที่สวยงาม และที่สุดของฤดูฝนคือ การเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นฤดูที่สามารถสรรพสิ่งทั้งหลายที่สวยงาม สดชื่น น่ามอง และสามารถสร้างความสบายใจได้





วิธีดูแลรักษาสุขภาพในหน้าฝน

             บ้านเราอยู่ในเขตร้อนชื้นและมรสุม ในหน้าฝนจะมีฝนตกหนักและต่อเนื่อง อากาศก็เปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝน เดี๋ยวอากาศเย็น ทำให้ผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง ผู้สูงอายุและเด็กเป็นหวัดกัน  งอมแงม ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมยาลดไข้บรรเทาปวดจำพวกพาราเซตามอลขายดีเหลือเกินในบ้านเรา ดังนั้นควรระมัดระวังและดูแลรักษาสุขภาพในหน้าฝนจึงจำเป็นอย่างมากสำหรับกลุ่มเสี่ยง

             โรคหวัดเป็นโรคที่เป็นได้ง่ายที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในอากาศ ดังนั้นเราจึงมีโอกาศได้รับเชื้อได้ตลอดเวลาและจะแสดงอาการถ้าเรารับเข้าไปในขระที่ร่างกายเราอ่อนแอ เมื่อเรารู้สึกว่าเป็นหวัด ต้องรีบรักษาทันที ไม่เช่นนั้นไข้หวัดอาจลุกลามกลายเป็นโรคระบบทางเดินหายใจและปวดบวมได้ในที่สุด



ไข้หวัดหรือโรคหวัดเป็นโรคติดต่อ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งก็คือจมูกและคอ อาการของโรคโดยทั่วไปจะมีไข้สูง คัดจมูก มีน้ำมูก ปวดศรีษะ ไอหรือจามมาก เจ็บคอ มีเสมหะมาก โดยทั่วๆจะมีอาการอยู่ราวๆ 3-5 วัน


เป็นการยากเหลือเกินที่จะป้องกันตัวเองจากไข้หวัด โดยเฉพาะผู้ที่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน ต้องพบปะผู้คนอยู่เสมอหรือต้องอยู่ในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่อย่าเพิ่งถอดใจครับ ยังมีวิธีวิธีปฏิบัติตนให้มีโอกาสเป็นหวัดน้อยลงได้ ดังนี้ครับ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 20-30 นาที เมื่อร่างกายแข็งแรง หวัดจะแสดงจะแผลงฤทธิ์ได้ยากขึ้น
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ มีวิตามินซีสูง
- พยายามหลีกเลี่ยงที่ชุมนุมชนให้มากที่สุด
- ไม่เข้าใกล้คนกำลังเป็นไข้หวัดมากเกินไป
- ล้างมือให้สะอาด ล้างบ่อยๆ
- หลีกเลี่ยงการโดนฝน



                                 สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำในช่วงฤดูฝน


    ทุ่งดอกกระเจียว

             "ทุ่งดอกกระเจียว"  เกิดจากดอกกระเจียวป่า หลากหลายสายพันธุ์  ที่พร้อมใจกันขึ้นรายรอบบริเวณ ของอุทยานฯและจะมีอยู่บริเวณหนึ่งใช้พื้นที่หลายไร่     ที่จะมีดอกกระเจียวขึ้นอย่างหนาแน่นจนกลายเป็นทุ่ง    ซึ่ง เวลามองดูก็จะเห็นเป็นสีชมพูปนขาว   และมีสีเขียวของลำต้ันและก้านใบเป็นสีเขียวสด   ประกอบกับสีเขียว ของหญ้าทีขึ้นมาแซม ทำให้ทุ่งกระเจียว เขียวขจี สวยงามเหมือนกับทุ่งในทรวงสวรรค์เลย              โดยในช่วงฤดูฝน เริ่มต้นเดือนมิถุนายน     ถึง ปลายเดือนกรกฎาคม ของทุก ๆ ปี    ต้นกระเจียวจะออก ดอกสวยงามตระการตาไปทั่วผืนป่า  จัดได้ว่าเป็น   "นางเอกของอุทยานฯ"  ก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะดอกกระเจียว จะไม่มีให้เห็นเลยนอกเสียจากในช่วงเวลาที่ว่านี่เท่านั้น...




     ป่าหินงาม  

             "ป่าหินงาม" หรือ   (ลานหินงาม)    อยู่ทางทิศตะวันตกของที่ทำการอุทยานฯ ทั่วบริวเวณเรียงรายไปด้วยหินก้อนน้อย ใหญ่ รูปร่างแปลก ๆ มากมายในพื้นที่กว่า 10 ไร่ เป็นลานหินซึ่งเกิดจากการกัดเซาะดิน  และเนื้อหินทรายมานานนับลานปี   วาง เรียงรายสลับซับซ้อน  อยู่เต็มลานบ้างก็มีรูปรา่างเหมือนกับถ้วยฟุตบอลโลก  บ้างก็เหมือนกบเรด้า  และรูปต่าง ๆ แล้วแต่จะ จินตนาการ  แต่เมื่อดูแล้วชวนให้เกิดความเพลิดเพลินใจเป็นยิ่งนัก... 






     อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว

          " อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว" แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของเพชรบูรณ์ ได้รับความนิยมในหมู่นักเดินทางที่ชอบการเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2515 ครอบคลุมพื้นที่ป่ารอยต่อสองจังหวัด คือ ในเขตอำเภอเมือง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์และอำเภอคอนสาน จังหวัดชัยภูมิ มีเนื้อที่รวม 603,750 ไร่ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน อากาศจะหนาวเย็นที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม อุณหภูมิประมาณ 2-5 องศาเซลเซียส เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำหลายสาย เช่น แม่น้ำป่าสัก แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย มีสัตว์ป่าชุกชุมรวมทั้งนกชนิดต่าง ๆ ตามเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติบนเขาสูงผ่านจุดชมวิวริมหน้าผาสวยงาม อาทิ ผากลางโหล่น ผาล้อม ผากอง นอกจากนั้นยังมีถ้ำและน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง




 ล่องแก่งลำน้ำเข็ก จังหวัดพิษณุโลก

       "ล่องแก่งลำน้ำเข็ก จังหวัดพิษณุโลก" เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมแอดเวนเจอร์ที่ต้องรอให้ถึงฤดูฝนซะก่อน ถึงจะทำให้ดีกรีความมันส์เพิ่มมากขึ้น สำหรับการล่องแก่งไปตามกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก และสนามล่องแก่งที่คนรักการผจญภัยในสายน้ำไม่ควรพลาด นั่นก็คือ การล่องแก่งลำน้ำเข็ก อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก เพราะที่นี่มีกระแสน้ำไหลผ่านเกาะแก่งต่าง ๆ มากมาย แถมตลอดเส้นทางยังมีระดับความยากง่ายท้าทายความสามารถอีกเพียบ อีกทั้งตลอดเส้นทางที่ล่องแก่งยังจะได้สัมผัสกับธรรมชาติตลอดระยะทาง 8 กิโลเมตร ที่ลอยละล่องลุ้นระทึกอยู่บนเรือยาง 

          ทั้งนี้ การล่องแก่งลำน้ำเข็ก ไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ลงล่องแก่งโดยเด็ดขาด โดยยึดตามข้อบังคับของชมรมผู้ประกอบการล่องแก่งลำน้ำเข็ก ที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย





             สถานที่ท่องเที่ยวของไทยที่สวยงามมีมากมายให้เราไปเที่ยวชม แต่3 สถานที่ท่องเที่ยวข้างต้น เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำคะ และที่สำคัญคือ ไปเที่ยวได้แต่อย่าลืมรักษาสุขภาพร่างกายกันนะคะ เพราะถ้าไม่สบายมาจะเที่ยวกันไม่สนุก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวในฤดูฝน เพราะโรคต่างๆที่มากับฤดูฝนมีเย๊อะ และนอกจากนี้จงรักและภาคภูมิใจที่ประเทศไทยเรามีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและเราทุกคนควรจะเที่ยวแบบรักษาธรรมชาติกันนะคะ

ขอบคุณรูปภาพจาก  http://www.google.co.th


 


                การกินอาหารและการปรับสมดุลร่างกาย

                             


       เมื่อเราทำการศึกษากันเรียบร้อยแล้ว เราก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมของเรากันได้แล้วนะคะ 
-ตื่นนอนและเข้านอนให้เป็นเวลา
-สร้างนิสัยการกินที่ถูกต้อง
-ออกกำลังกายอาทิตย์ละสองถึงสามครั้ง

        และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คืออย่าลืมดูแลสุขภาพจิตกันด้วยนะคะ ซึ่งก็ทำไม่ยากเลยคะ เพียงแค่คุณหันมามองโลกในแง่ดี ใช้ธรรมมะ ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด แค่นี้คุณก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงทั้งกายและใจกันแล้วคะ




      การปรับสมดุลด้วยอาหาร จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งที่น่าฝึกฝนเรียนรู้ 
ดังรายละเอียดต่อไปนี้
       
             1. เพิ่มการรับประทาน ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด และโปรตีนจากถั่วหรือปลา (สำหรับผู้ที่ไม่สามารถงดเนื้อสัตว์)

             2. ควรปรุงอาหารด้วยการต้มหรือนึ่ง ปรุงรสไม่จัดจนเกินไป ถ้าเป็นไปไ้ด้ ควรปรุงรสอยู่ในระดับประมาณ 10-30 % ของที่เคยปรุง
อาจปรุงมากหรือน้อยกว่านี้ตามความสมดุลพอดีของร่างกาย ณ ปัจจุบันนั้น ๆ ซึ่งตัวชี้วัดของความสมดุลพอดี คือ ความรู้สึุกสบาย
เบากาย มีกำลัง หรือถ้าผู้ที่ติดรสจัดมาก ก็ค่อย ๆ ลดรสจัดของอาหารลง ให้มากที่สุด เ้่ท่าที่จะพอรับประทานได้โดยไม่ลำบากนัก

              3. งดหรือลดการรับประทานอาหารที่หวานจัด เช่น ของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม เครื่องบำรุงกำลัง ผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่หวานจัด
อาหารที่เค็มจัด เช่น ปลาร้า ผักดอง เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารที่ปรุงเค็มมาก และอาหารที่มีผงชูรสมาก

(มีการวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า อาหารที่มีโซเดียมมากเกิืน เค็มจัดหรือมีผงชูรสมาก
ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจโตน้ำหนักเพิ่ม ไตเสื่อม ภูมิต้านทานลด และรหัสพันธุกรรมผิดปกติ)

อาหารที่มีไขมันสูง เ่ช่น อาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ เนื้อหมู วัว ควาย ไก่พันธุ์เนื้อ อาหารทะเล เป็นต้น
และอาหารที่ปรุงรสอื่น ๆ จัดเกินไป เช่น เผ็ด เปรี้ยว ขม ฝาด เป็นต้น

  ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่มบำรุงกำลังต่าง ๆ
นำ้หมัก ข้าวหมาก รวมถึงอาหารที่มีวิตามินน้อย แต่มีโซเดียมหรือไขมันสูงเกิน ได่แก่ อาหารแปรรูปหรือสำเร็จรูปต่าง ๆ
เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมอมขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค้ม
ของหมักดอง อาหารทะเ้ล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียมสูง) เป็นต้น

             4. หลักปฎิบัติ 4 อย่าง ในการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี

        4.1. ฝึกรับประทานอาหารตามลำดับ
        4.2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
        4.3. รับประทานในปริมาณที่พอดีรู้สึกสบาย
        4.4. กลืนลงคอให้ได้ เพราะอาหารสุขภาพมักจะไม่อร่อย ยกเว้น ผู้ที่มีบุญบารมีมากหรือผู้ที่ฝึกรับประทานบ่อย ๆจะรู้สึกอร่อยไปเอง





     




    การรับประทานสมุนไพรปรับสมดุล


             กรณีที่มีภาวะร้อนเกิน
น้ำย่านาง คลอโรฟิลด์สด

ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือที่เรียกว่า น้ำคลอโรฟิลด์สดจากธรรมชาติ/น้ำเขียว/น้ำย่านาง


วิธีทำ
 ใช้สมุนไพรฤทธฺ์เย็น เช่น
- ใบย่านางเขียว 5-20 ใบ
- ใบเตย 1-3 ใบ
- บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ
- หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น
- ใบอ่อมแซบ (เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ
- ผักบุ้ง ครึ่ง-1 กำมือ
- ใบเสลดพังพอน ครึ่ง-1 กำมือ
- หยวกกล้วย ครึ่ง-1 คืบ
- ว่านกาบหอย 3-5 ใบ เป็นต้น


จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้ละเอียดหรือ
ขยี้ผสมกับน้ำเปล่า 1-3 แก้ว (บางครั้งอาจผสมน้ำมะพร้าว น้ำตาล
น้ำมะนาว น้ำมะขาม ในรสไม่จัดเกินไป เพื่อทำให้ดื่มได้ง่ายในบางคน)
กรองผ่านกระชอน เอาน้ำที่ได้มาดื่ม ครั้งละประมาณ ครึ่ง-1 แก้ว
วันละ 1-3 ครั้ง ก่อนอาหารหรือ ตอนท้องว่างหรือดื่มแทนน้ำตอนที่รู้สึก
กระหายน้ำปริมาณการดื่มและความเข้มข้นของสมุนไพร อาจมากหรือ
น้อยกว่านี้ก็ได้ ตามความต้องการของร่างกาย ณ เวลานั้น ๆ โดยดูความ
พอดีได้จาก ความรู้สึกที่กลืนง่าย ไม่ฝืดไม่ฝืนไม่พะอืดพะอมและความสบายตัว



     กรณีที่ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดแล้วรู้สึกไม่สบาย 


ให้กดน้ำร้อนใส่น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือนำไปต้มให้เดือด ก่อนดื่ม หรืออาจนำสมุนไพรฤทธ์ร้อนมาผสมก่อนดื่มก็ได้
เช่น นำน้ำต้มขมิ้น/ขิง/ตะไคร้ มาผสม เป็นต้น หรืออาจดื่่มสมุนไพรฤทธิ์ร้อนอย่างเดียวก็ได้ ถ้าดื่มแล้วรู้สึกสบาย


           เป็นอย่างไรกันบ้างคะสำหรับเกล็ดความรู้ที่นำมาให้ได้ศึกษากันในบลอกนี้ ต้องขอบคุณผู้รู้ในเวปไซต์ต่างๆด้วยนะคะ

ขอขอบคุณความรู้ต่างๆจากเวปไซต์ดังต่อไปนี้คะ
-http://health.kapook.com/view1700.html
-http://www.morkeaw.net/k-technic.html
และรูปภาพจาก http://www.google.co.th




                             แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน


             ก่อนอื่นที่เราจะไปทราบถึงขั้นตอนต่างๆที่เรียกได้ว่าทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สามารถทำได้ในการทำให้สุขภาพของเราดีนั้น

          สิ่งแรกที่เราต้องทำคือต้องเปลี่ยนคะ 

- เปลี่ยนความคิด

- เปลี่ยนนิสัยในการกิน
- เปลี่ยนนิสัยในการนอน
:ซึ่งการเปลี่ยนที่กล่าวมานั้นต้องเปลี่ยนไปในทิศทางที่ถูกต้องและเป็นไปตามทฤษฎีนะคะ





                  ช่วงเวลาของร่างกาย



         ช่วงเวลาของร่างกายที่เราควรทำการศึกษาก่อนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆซึ่ง
การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วยหัวใจ, เยื่อหุ้มหัวใจ, ปอด, ม้าม, ตับ ไต, กระเพาะอาหาร, ถุงน้ำดี, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, กระเพาะปัสสาวะ, ระบบความร้อนของร่างกาย, การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต" ต่อมเล็กๆ ในสมองของมนุษย์คือจุดควบคุมจังหวะสั่งการให้ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นไปในลักษณะต่างๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน 

             ดังนั้น การดูแลควบคุมพฤติกรรมในแต่ละวันให้สัมพันธ์กับนาฬิกาภายในร่างกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ ให้ผลทั้งการควบคุม สมดุล ความปกติของสุขภาพ และสัดส่วนน้ำหนักและนี่คือสิ่งที่ควรรู้ 






ช่วงเวลา นาฬิกาชีวิต และคำแนะนำ

        06:00 : หกโมงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นตัวที่สุด

        07:00 : เหมาะสำหรับเป็นเวลาอาหารเช้า ระบบการย่อยอาหารจะทำงานได้ดีที่สุด สารอาหารแร่ธาตุและวิตามิน ต่างๆ จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างสมบูรณ์

        08:00 : เป็นช่วงเวลาที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวบ่อยที่สุดเพราะเลือดในร่างกายเข้มข้น เลือดมีโอกาสจับตัวอุดตัน จนเกิดอันตราย จึงควรฝึกทำสมาธิ นับลมหายใจ หรือฟังเพลง เลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียด

        09:00 : สมองส่วนความจำจะทำงานได้ดีมากในช่วงนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องจำมากที่สุด

        10:00 : ถ้าเป็นไปได้ ควรนัดเจรจาเรื่องสัญญา การพูดจาระหว่างการสนทนาจะออกมาเป็นจุดเด่นในช่วงนี้

        11:00 : ร่างกายในช่วงที่สามารถให้ประสิทธิภาพได้สูงสุด หัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิตทำงานได้เต็มที่ช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งมาราธอนหรือต่อสู้กับสภาพของงาน มนุษย์จะทำได้ดีที่สุด

        12:00สมาธิเริ่มแย่ อุบัติเหตุในการทำงานจะเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่หยุดพักจะทำให้เกิดความเสียหาย

        13:00 : กระเพาะอาหารเตรียมทำงานด้วยการหลั่งกรดออกมา ต้องหาอะไรกินให้ได้ ไม่งั้นจะเสี่ยงต่อ โรคกระเพาะอาหาร

        14:00 เป็นช่วงที่สมองซีกศิลปะทำงาน เหมาะสำหรับการคิดสร้างสรรค์ หรือทำงานฝีมือ งานอดิเรก

        15:00 : พลังงานแห่งการทำงานกลับมาอีกครั้ง ความจำขึ้นถึงสูงสุดอีกครั้ง ช่วงนี้น่าจะหาโอกาสเข้าพบเจ้านายเพื่อขึ้นเงินเดือนได้ ในช่วงนี้จิตใจจะไม่กลัวการเผชิญหน้าใดๆ

        16:00 : มนุษย์จะทนต่อความเจ็บปวดได้ดีที่สุดในชั่วโมงนี้ ถ้าจะไปทำฟันก็เลือกประมาณนี้ ถ้าทำได้ยาชาหนึ่งเข็ม จะมีผลพอๆ กับการได้รับ 3 เข็มเลยทีเดียว

        17:00 : แรงดันและการไหลเวียนของโลหิตจะเคลื่อนไหวได้ดีมาก เป็นเวลาที่เหมาะสมกับการเล่นกีฬาออกกำลังกาย กล้ามเนื้ออยู่ในช่วงที่แข็งแรงที่สุด และเมื่อได้ฝึกอย่างถูกวิธี ก็จะเกิดความแข็งแรงรวดเร็วมาก

        18:00 : ช่วงนี้ผู้คนจะเหนื่อยเพลียและขาดสมาธิมากกว่าช่วงเวลาชั่วโมงอื่นๆ เป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งที่สุด ต้องใช้ความระวังขณะขับรถอยู่บนถนน

        19:00 : สมองได้รับเลือดหล่อเลี้ยงมาก เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะสามารถแก้ไขให้ลุล่วงดีได้เร็วมาก

        20:00 : เริ่มสดชื่นหลังการพักผ่อนที่ต้องกรำงานตลอดทั้งวัน จึงเป็นช่วงดีสำหรับการพบปะสังสรรค์ ใครที่อยากจะบอกรัก ขอใครแต่งงานควรจะทำในชั่วโมงนี้ โอกาสประสบความสำเร็จมีมากที่สุด

        21:00 : กระเพาะอาหารจะหยุดทำงานพอถึงช่วงเวลานี้ ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารหนัก เพราะไม่เช่นนั้น  ก็จะไปสะสมค้างในกระเพาะเกิดผลเสียหายตามมา

       22:00 : ความดันโลหิตจะลดลงพร้อมๆ กับอุณหภูมิของร่างกายที่ต่ำลง การนอนหลับก่อนเที่ยงคืนเป็นการหลับที่สนิท และช่วยให้การพักผ่อนอย่างเต็มที่มากกว่าช่วงอื่น

       23:00 : สมองทำงานน้อยลง ถ้าดูหนังสือช่วงนี้วันต่อไปก็จะจำไม่ได้เป็นส่วนใหญ่ ควรนอนหลับพักผ่อนดีที่สุด

        24:00 : ใครที่ยังไม่หลับควรให้โอกาสนี้สำหรับการสร้างสรรค์ จะเป็นงานเขียน วาดรูป หรือแต่งเพลง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่วิเศษทั้งสิ้น เพราะสมองปลอดโปร่งคิดโน่นคิดนี่ได้ดีที่สุด
    
        01:00 : สมองเหนื่อยล้าถึงขีดสุด ร่างกายอยากพักผ่อนเต็มที่ แม้จะชาชินกับงานกลางคืนมาเป็นปี แต่พอเข้าชั่วโมงนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อย เพลีย ง่วงที่สุด 1.00-3.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (Meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้ หน้าอ่อนกว่าวัย นอนจากร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (Endorphin) ออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว

        02:00 : ฮอร์โมนเมลาโตนินถูกขับออกมามาก ทำให้คนเราเลื่อนลอยเหนื่อยล้าและมีโอกาสคิดสั้นฆ่าตัวตายมากที่สุด ดังนั้น ควรเลี่ยงเรื่องเครียดๆ หรือคิดหาเหตุผล ถ้าไม่นอนก็ควรฟังเพลงสบายๆ ดูหนังตลกๆ

        03:00 : ทุกอย่างในร่างกายแทบจะหยุดนิ่ง ร่างกายควรได้รับการพักผ่อนมากที่สุด

        04:00 : ร่างกายเริ่มตื่นขึ้นมาทำงานอีก เพราะมีฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งใช้ต่อสู้กับความเครียดหลั่งออกมา คนเป็นโรคหืดหอบจะมีปัญหากับการหายใจ

        05:00 : ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แก่ทั้งหลายควรตระเตรียมข้าวของให้พร้อมสำหรับชั่วโมงนี้ เพราะตามสถิติเด็กทารกจะคลอดออกมาลืมตาดูโลกระหว่างชั่วโมงนี้มากที่สุด



              เมื่อเข้าใจชีวิตและร่างกายแล้ว ว่าร่างกายทำงานอย่างไร เราต้องดูแลสุขภาพร่างกายของตัวเราเองดีๆนะคะ  ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย และที่สำคัญ ควรออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย

                       และควรเลือกออกกำลังกายตามความเหมาะสมของร่างกายและถนัดหรือชอบในการออกกำลังกายอย่างนั้นๆด้วย การออกกำลังกายถึงจะทำได้ดีและมีความสุขเวลาออกกำลังกาย


                        



      ในเมื่อเรารู้เวลา และกระบวนการของการทำงานในร่างกายแล้ว เราควรดุแลสูขภาพตามหลักการทำงานของร่างกายกันนะค่ะ เพื่อสูขภาพที่ดีของตัวคุณเองและคนรอบข้าง   เพราะสุขภาพที่ดีไม่มีขาย อยากได้ต้องสร้างและรักษาด้วยตัวเราเองค่ะ 


     ขอขอบคุณความรู้ต่างๆจากเวปไซต์ดังต่อไปนี้คะ

-http://health.kapook.com/view1700.html
-http://www.morkeaw.net/k-technic.html
และรูปภาพจาก 
http://www.google.co.th